วันพฤหัสบดีที่ 20 มกราคม พ.ศ. 2554

ระบบขับเคลื่อนสี่ล้อแบบ Selec - Trac

นับตั้งแต่เริ่มเขียนเกี่ยวกับรถขับเคลื่อน 4 ล้อเป็นต้นมา ผมก็เขียนมาเล่าให้ฟังเป็นฉากๆ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเกี่ยวกับ การใช้งานรถอย่างถูกต้อง เรื่องของการใช้รถ 4*4 แบบอนุรักษ์ธรรมชาติ รวมไปถึงเรื่องของการใช้อุปกรณ์ต่างๆประจำรถ คราวนี้จึงถือโอกาสนำเอาเรื่องราวของระบบการขับเคลื่อนสี่ล้อแบบ Selec-Trac มาเล่าสู่กันฟังว่าเป็นอย่างไรมีอยู่ในรถอะไร และจะต้องทำอย่างไรกับมันบ้าง

    Selec-Trac เป็นระบบขับเคลื่อนสี่ล้อแบบหนึ่ง ที่ใช้กันอยู่ในรถ Jeep ของอเมริกา โดยเข้ามาเป็นที่รู้จักในบ้านเราจากที่ทางไทยไครสเลอร์ นำเข้ารถยนต์จากอเมริกาเข้ามาจำหน่าย ได้นำเอารถ Jeep รุ่น Cherokee เข้ามาเป็นตัวทำตลาด

ระบบขับเคลื่อนสี่ล้อแบบ Selec - Trac
     Cherokee เป็นรุ่นหนึ่งของ Jeep ที่เกิดมาเพื่อต่อสู้กับตลาดรถขับเคลื่อนสี่ล้อแบบตรวจการณ์โดยเฉพาะ หลังจากที่ Jeep เคยส่งเอา Wagoneer ลงมาต่อสู้กับคู่แข่งอื่นๆทางการตลาด ซึ่งระบบขับเคลื่อนสี่ล้อที่ Cherokee จับใส่มาจากอเมริกา เราเรียกกันว่า Selec-Trac เป็นระบบที่ทำให้ผู้ขับขี่สามารถเลือกใช้การขับเคลื่อนสี่ล้อแบบ 4 WD Full time  เพื่อการทรงตัวที่ดีของรถในทางโค้ง โดยไม่ทำให้อัตราการสิ้นเปลื่องน้ำมันเชื้อเพลิงสูงขึ้นแต่อย่างใดและยังไม่สร้างภาวะการสึกหรอที่มากกว่าปกติอีกด้วย

    ทั้งนี้เพราะว่า Selec-Trac ใช้เฟืองถ่ายทอดกำลังในห้องเฟืองกลางเป็นตัวทำงาน ซึ่งจุดเด่นของระบบนี้นอกจากจะสามารถใช้งานขับเคลื่อนสี่ล้อตลอดเวลาได้แล้ว (4 WD Full time) เมื่อต้องการให้กำลังจากเครื่องยนต์ถ่ายทอดลงสู่พื้นได้เต็มที่ เช่นในสภาวะรถติดหล่มหรือต้องการกำลังฉุดลากขึ้นเนิน Selec-Tracยังสามารถถ่ายทอดกำลังไปใช้แบบ 4 WD Part time high หากต้องการมากกว่านั้นก็สามารถใช้แบบ 4 WD Part time low ได้อีกด้วย ซึ่งการใช้ขับเคลื่อนแบบ 4 WD Part time นี้ ห้ามใช้งานต่อเนื่องกันเป็นระยะเวลานานๆ เหมือนแบบ Full time เป็นอันขาด


    โดยข้อกำหนอในการใช้งานนั้น ทาง Cherokee ได้มีการเตือนผู้ซื้อเอาไว้ว่า ในขณะที่ใช้ระบบ 4 WD Part time high นั้นควรใช้ความเร็วประมาณ 20-30 กม/ซม. เฟืองกลางจะกระจายแรงบิดออกไปยังเพลาหน้าและเพลาหลังในอัตราที่เท่าๆกัน
Cherokee หยุดสนิทเตรียมเข้าจังหวะ Part time low

    ส่วนในการเปลี่ยนเกียร์มาใช้ 4 WD Part time low นั้นต้องหยุดรถให้สนิทก่อนการเปลี่ยนเกียร์ จากนั้นสามารถโยกคันบังคับเกียร์มายังตำแหน่งที่ต้องการได้ และใช้ควาเร็วได้ไม่เกิน 5 กม/ซม. เฟืองกลางจะกระจายแรงบิดออกไปยังเพลาหน้าและเพลาหลังในอัตรา 2.72/1

Jeep Cherokee บนทางเรียบในจังหวะ Full time


และเมื่ออยู่ในระบบขับเคลื่อนสี่ล้อไม่ว่าแบบใด Cherokeeจะมีสัญญาณไฟ 4WD เตือนขึ้นอยู่ตลอดเวลา เมื่อตอนที่ผมเริ่มรู้จักระบบขับเคลื่อนสี่ล้อใหม่ๆ นั้น ผมมักจะเข้าใจว่า เวลาที่เป็นระบบขับเคลื่อนสี่ล้อแบบ Full time นั้น รถจะมีกำลังงานที่ถูกถ่ายทอดลงพื้นมากกว่าแบบ Part time ซึ่งความจริงผมเข้าใจผิดมาตลอด และเพื่อป้องกันไม่ให้ผู้ที่เริ่มทำความรู้จักกับรถขับเคลื่อนสี่ล้อเข้าใจผิดเช่นเดียวกับผม ผมจะสรุปให้ได้ใจความสั้นๆว่า

     ระบบขับเคลื่อนแบบ Full time นั้น จะยังให้ประโยชน์กับผู้ขับรถมากที่สุดบนพื้นถนนที่เรียบจนถึงค้อนข้างเรียบ ประโยชน์ที่ได้รับนั้นจะแสดงออกในเรื่องของการทรงตัวในขณะขับเคลื่อนด้วยความเร็วสูงๆ เป็นหลัก เมื่ออยู่ในจังหวะ 4WD Full time นั้น ห้องแบบกำลังกลางจะทำการกระจายกำลังผ่านเฟืองไปยังล้อคู่หน้าและหลังตามความต้องการใช้งาน

      แต่เมื่ออยู่ในจังหวะ4 WD Part time นั้น ห้องแบบกำลังกลางจะล๊อคตัวและบังคับให้ล้อหน้า-หลัง ทำงานทุกๆ ล้อ จึงเหมาะที่จะใช้เมื่ออยู่ในสภาพทางวิบาก ต้องการกำลังมากๆเท่านั้น เพราะหากใช้จังหวะ Part time เมื่อขับรถเร็วๆ หรือในทางโค้ง ล้อคู่หน้าและหลังจะเกิดการฝืนตัวซึ่งกันและกัน จนอาจเกิดอันตรายได้

วันอังคารที่ 18 มกราคม พ.ศ. 2554

Chrysler คืออะไร

 
นับตั้งแต่ปลายปี 2538 ผู้บริโภคทางด้านรถยนต์ของเมืองไทย เริ่มคุ้นหูกับชื่อของ Chrysler กันมากขึ้น เนื่องจากมีการตั้งบริษัทขึ้นมาในเมืองไทยซื่อว่า บริษัท ไทยไครสเลอร์ ออโตโมทิฟ จำกัด และจัดจำหน่ายรถยนต์ยี่ห้อ Jeep ในรุ่น Cherokee ซึ่งเป็นรถแบบเอนกประสงค์ขับเคลื่อนสี่ล้ออันมีสมรรถนะเหลือเฟือ มีการนำมาให้ฝ่ายต่างๆทดลองขับกันจนแทบไม่ต้องควักกระเป๋าซื้อก็คุ้นกับมันมากพอแล้ว

    Cherokee เมื่อแรกเริ่มเปิดตลาดในบ้านเรานั้น เป็นรถที่ประกอบสำเร็จรูปทั้งคันมาจากต่างประเทศ จนเมื่อสามารถสร้างยอดการจำหน่ายได้สูงพอสมควรแล้ว จึงได้มีการนำชิ้นส่วนหลักเข้ามาประกอบในบ้านเรา ซึ่งโรงงานที่ได้โอกาสโชว์ฝีมือการประกอบก็เป็นโรงงานเดียวกันกับที่ประกอบรถยนต์ Volvo นั่นเอง ดังนั้นความประณีตของฝีมือจึงเป็นที่เชื่อถือได้ เพราะว่าในการประกอบ Volvo โรงงานแห่งนี้เคยได้รางวัลประกอบรถยอดเยี่ยมที่สุดในบรรดาโรงงานประกอบทั่วโลก

    นอกจากเบาะหนังแท้ในทุกตำแหน่ง เบาะคู่หน้าที่ปรับได้โดยระบบไฟฟ้าแล้ว แผงหน้าปัดลายไม้ก็ถือว่าเป็นอุประกรณ์มาตราฐานประจำรถที่ติดตั้งมาให้พร้อมกับระบบปรับกระจกหน้าต่างด้วยไฟฟ้าทุกบาน และระบบเซ็นทรัลล๊อค เบรก ABS ถุงลมนิรภัยด้านข้างคนขับ ล้วนแต่เป็นอุปกรณ์มาตราฐานอีกด้วย

ด้านในของ Cherakee
    ส่วนเครื่องยนต์เป็นขนาด 4000 ซีซี. เช่นเดิม เรียกว่าเครื่องยนต์เดิมที่ขายกันมานั่นแหละ 190 แรงม้า แรงบิดระดับ 22.92 กก-ม ที่ 4000 รอบ/นาที เกียร์อัตโนมัติ 4 จังหวะ พร้อมเกียร์ทดช่วยพิเศษ High-low มีระบบ Selec-Trac ทำให้สามารถขับได้ทั้งระบบ 4WD Full time และ 4WD Part time ตามแต่ผู้ขับอยากได้สมรรถนะเช่นใด ยางอะไหล่ก็ถูกนำมาแขวนโชวไว้ท้ายรถ ทำให้มีเนื้อที่ภายในสำหรับบรรทุกสัมภาระและผู้โดยสารเพิ่มขึ้น

     การขับขี่นั้นง่ายสมเป็นรถเกียร์อัตโนมัติจากอเมริกา ที่ถือว่าเป็นผู้นำด้านเกียร์อัตโนมัติ ความนุ่มนวลมีมากกว่าที่คาดไว้ เพราะจากระบบช่วงล่างและความรู้สึกว่าต้องขับรถขับเคลื่อนสี่ล้อ ทำให้ตั้งใจว่าจะต้องพบกับความกระด้าง แต่กลับเจอกับความนุ่มนวลชนิดแทบจะไม่เมารถเสียด้วยซ้ำ

     ทีนี้มีเรื่องเกี่ยวพันกับ Chrysler ที่อยากจะเล่าให้ฟังอีกสักหน่อย คือเรื่องที่ใครต่อใครพากันคิดว่า Chrysler เป็นชื่อของบริษัทที่ผลิต และจำหน่ายรถ Jeep หรือรถลุยแบบขับเคลื่อนสี่ล้อเพียงอย่างเดียว ซึ่งเป็นเรื่องที่ผิดมากมาย อันที่จริงแล้ว Chrysler นั้นเป็นชื่อบริษัทผู้ผลิตรถยนต์ที่ตั้งขึ้มมานานมากทีเดียว หากนับเอาเพียงแต่ ม.ร.วอลเตอร์ ไครสเลอร์ ผู้เปลี่ยนชื่อบริษัทแมกเวลล์ มอเตอร์คาร์ มาเป็นบริษัทไครสเลอร์ คอร์เปอเรชั่นจำกัด และขึ้นดำรงตำแหน่งประธานบริษัทในปี 2468 มาถึงวันนี้ก็ 86 ปีเข้าไปแล้ว ต่อมาในปี พ.ศ.2472 ไครสเลอร์ก็ก้าวขึ้นมาเป็นยักษ์ใหญ่หนึ่งในสามของผู้นำธุรกิจรถยนต์ในอเมริกา ซึ่งถือว่าเป็นผู้ยิ่งใหญ่ที่สุดของอุตสาหกรรมรถยนต์โลก

รถถังรุ่น Sherman M-4
     นอกจากความก้าวหน้าทางด้านธุรกิจรถยนต์แล้ว ผู้บริหารของไครสเลอร์ในยุคต้นๆยังมองการณ์ไกลไปถึงการพัฒนาผลิตภัณฑ์อื่นๆ เพื่อโลกด้วย เช่น การเข้าไปสนับสนุนด้านการทหารของอเมริกาในปี พศ.2488 มูลค่ากว่า 3.4 พันล้านเหรียญสหรัฐ รวมถึงการสร้างรถบรรทุกยี่ห้อ Dodge ให้แก่กองกำลังฝ่ายสัมพันธมิตรและสร้างรถถังภายใต้ชื่อรุ่น Sherman M-4 อีกด้วย
ยานสำรวจอวกาศจูปีเตอร์

    หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 เป็นต้นมา Chryslerได้พัฒนาตัวเองแบบก้าวกระโดด มีการเพิ่มกำลังการผลิตมากขึ้น โดยเพิ่มโรงงานผลิตอีก 11 แห่งในช่วง พ.ศ. 2490-2493 และยังก้าวเข้าไปผลิตยานสำรวจอวกาศจูปีเตอร์ให้กองทัพสหรัฐอีกด้วย

   พ.ศ.2502 ในช่วงที่โลกยังไม่รู้จักรถยนต์ที่เรียกกันว่า Compact กับ Plymouth ซึ่งเป็นยี่ห้อหนึ่งที่ Chrysler ได้ผลิตซึ่งในรุ่น Valiant ก็ได้รับการต้อนรับเป็นอย่างดี ในส่วนของรถยนต์เอนกประสงค์แบบมินิแวนนั้น Chryslerได้ผลิตออกสู่ตลาดมาตั้งแต่ปี 2526 ภายใต้ชื่อ Dodge Caravan และ Plymouth Voyager ทำให้มองได้ว่าเรื่องการตลาดรถยนต์แล้ว Chryslerมองเห็นอนาคตก่อนผู้อื่นอยู่เสมอ

Plymouth Voyager
Dodge Caravan

   พ.ศ.2534 ได้มีการจัดตั้งศูนย์เทคโนโลยีของ Chrysler ขึ้นในรัฐมิชิแกน ด้วยวงเงินกว่า 1 พันล้านเหรียญสหรัฐ เพื่อเป็นศูนย์ค้นคว้าและพัฒนา
Grand Cherokee SRT 8

   พ.ศ.2535 Chrysler จึงได้ลงทุนตั้งโรงงานประกอบชิ้นส่วนที่ดีทรอยด์เป็นเงิน 1.6 พันล้านเหรียญสหรัฐ เพื่อผลิตรถยนต์ Grand Cherokee และในปีเดียวกันนี้ ยังได้นำรถอีก 3 รุ่นออกสู่ตลาดด้วยซึ่งรถสามรุ่นดังกล่าวได้รับการออกแบบตามแนวคิดใหม่ที่เรียกว่า Cab-Forward

   ปัจจุบันนี้  Chrysler มีพนักงานรวมประมาณ 113,000 คน โดยทำการผลิตและจำหน่ายสินค้าหลักคือรถยนต์ ภายใต้ชื่อ Chrysler, Dodge, Eagle, Jeep, Plymouth และอื่นๆ ซึ่งครอบคลุมรถทุกประเภทเท่าที่มีผลิตกันในโลกเลยที่เดียว โดยจำหน่ายผ่านตัวแทนกว่า 7,000 แห่ง โดยมีส่วนสนับสนุนเป็นโรงงานการผลิตหลักอยู่ใน ออเมริกา แคนาดา และ เม็กซิโกมากมายดังนี้

    โรงงานประกอบรถยนต์ 13 แห่ง, โรงงานผลิตเครื่องยนต์ 10 แห่ง, โรงงานหล่อตัวถัง 9 แห่ง, โรงงานผลิตชิ้นส่วน 11 แห่ง และศูนย์เทคนิค 4 แห่ง ทั้งนี้ยังมีการรวมทุนตามประเทศต่างๆอีกมากมาย เช่น บริษัทปักกิ่ง จิ๊ป คอร์ปอเรชั่น ในประเทศจีน ทำกา๊รผลิตรถจิ๊ป, บริษัทยูโรสตาร์ อันเป็นบริษัทร่วมทุนกับ Steyr-Damler-Puch ในออสเตรีย, บริษัท ฟิลิปส์ แอนด์ อคูสตาร์ ออโตอิเล็กโทรนิค ผลิตชิ้นส่วนอิเล็กโทรนิคสำหรับรถยนต์ และบริษัท วาลีโอ อคูสตาร์ เธอร์มันซีสเต็ม ผลิตระบบทำความเย็น และความร้อน รวมทั้งบริษัท ไทยไครสเลอร์ ออโตโมทิฟ จำกัด ซึ่งเป็นทั้งผู้ผลิตและจำหน่ายรถยนต์ในเมืองไทยด้วย

    ที่นี้ท่านผู้อ่านคงได้รู้จักตัวตนที่แท้จริงของ  Chrysler กันมากขึ้นแล้วนะครับ ยังไงผมก็ฝากบอกต่อคนที่ยังเข้าใจแบบผิดๆอยู่ และอย่าลืมหารถของ Chryslerมาลองขับดู รับรองจะไม่ผิดหวังและมีแต่ความประทับใจแน่นอน...

Range Rover 2.5 DSE ย้อนรอยเจ็งกิสข่าน

เมฆสีเทาทึบปกคลุมรถ Range Rover ราวกับบรรยากาศในภาพยนต์เขย่าขวัญ ทำให้ย่นทัศนวิสัยด้านหน้าลงเหลือเพียงไม่กี่เมตร และบรรยากาศเช่นนี้ พอทำให้เกิดจินตนาการถึงเจ็งกิสข่านที่นำกองทัพข้ามเทือกเขาแอลป์นี้มาลุยยุโรปเมื่อกว่า 2 พันปีมาแล้ว แต่ที่วาดภาพลำบากซักหน่อยคงเป็นโขลงช้างศึก 37 เชือกเดินต้วมเตี้ยมตามกันขึ้นเขาสูงชัน
    
กองทัพอันเกรียงไกรของเจ็งกิสข่าน
     บนยอดเขาสูงเมื่ออากาศแจ่มใสจะเต็มไปด้วยความเงียบสงบ ไม่มีเสียงนกกาหรือเสียงพริ้วไหวของใบไม้ มีเพียงเสียงลมที่พัดผ่านต้นหญ้าหร๋อมแหร๋มและพุ่มไม้เล็กๆ ผนวกเมฆทึบเข้าไป แล้วเสียงต่างๆ ก็จะหดหายไปยิ่งกว่าเอาสำลียัดหูไว้เสียอีก ทำให้นึกย้อนไปถึงทหารโรมันที่คงจะหลับไม่รู้คู้ไม่เห็น เมื่อกองทัพเจ็งกิสข่านบุกเข้ามาประชิดจะมีก็แต่เสียงช้างร้อง ซึ่งชาวยุโรปไม่เคยได้ยินมาก่อน จนอาจคิดเลยเถิดไปว่าเป็นเสียงปีศาจขึ้นมาจากขุมนรกต้องรีบซุกผ้าคลุมโปงหลบเสียด้วยซ้ำ

     ไม่มีใครแน่ใจว่าเส้นทางที่เจ็งกิสข่านได้เดินทัพจากฐานที่ตั้งในประเทศสเปนข้ามเทือกเขาแอลป์ไปสู่ทางเหนือของอิตาลีนั้นเป็นทางไหนกันแน่ จากนั้นอีก 15 ปี นักรบผู้ยิ่งใหญ่ผู้นี้ก็บุกโจมตีปล้นสะดมภายในอาณาจักรโรมันสนุกมือ ก่อนถอยทัพกลับบ้านอย่างผู้มีชัย ถนนโบราณนี้น่าจะเป็นเส้นทางที่เจ็งกิสข่านเคยใช้ เพราะเห็มมีป้อมเดลาตูร์ร่าตั้งอยู่อย่างโดดเดี่ยว ที่ความสูง 3,000 เมตรเหนือระดับน้ำทะเล

เทือกเขาแอลป์
     เมื่อได้นั่งอย่างสบายบนเบาะนิ่มของ Range Rover เครื่องยนต์ดีเซล จึงเป็นเรื่องยากที่จะจินตนาการถึงความยากลำบากที่เหล่านักรบต้องเผชิญ เส้นทางที่พวกเขาใช้เวลาเดินเป็นวันๆ พวกเราขับรถ Range Rover ใช้เวลาเพียงไม่กี่ชั่วโมง พวกเขาคงต้องประสบกับความหนาวเย็น เปียกชื้นและหิวโหย ในขณะที่เรานั่งอยู่ในรถที่มีเครื่องปรับอากาศที่ปรับได้ตามความพอใจ และสบายใจได้ว่าอาหารกลางวันและเตียงอุ่นๆ รอเราอยู่ที่โรงแรมวัลดิเซเรในอีกไม่กี่ชั่วโมงข้างหน้า

    นี่คงเป็นครั้งที่ 2 และน่าจะเป็ครั้งสุดท้ายที่ Range Roverใช้เส้นทางประวัติศาสตร์บนเทือกเขาแอลป์ของฝรั่งเศสเป็นที่ทดสอบรถ

    ถ้าให้สารภาพกันตามตรงแล้วต้องเรียนว่า การขับรถ "วิบาก" สมัยนี้มันสบายเกินไป แถมบางทีเรายังเห็นชาวบ้านขับรถ Renault 5 ธรรมดาๆ กันอย่างไม่เห็นต้องทุกข์ร้อนหารถ "โฟร์วีล" ขับกันแต่อย่างใด แต่ก็นั่นแหละเมื่อคุณได้ขับรถ Range Roverหรือ Discovery แล้วคุณจะรู้สึกได้ว่าเนินเขาลาดชันอย่างไร ความรู้สึกที่ได้รับก็คล้ายๆ กับขับรถขึ้นทางลาดของทางด่วนเท่านั้น

    วันที่เราไปถึงอากาศมืดครึ้มและชื้นมาก พอเช้าวันรุ่งขึ้นอากาศยังเลวเหมือนเดิม ท้องฟ้าเต็มไปด้วยเมฆหนา ความหวังที่จะได้เห็นทิวทัศน์อันสวยงามหมดไป ผมเอียนมากกับคำพูดของไกด์ที่พูดไม่จบว่า ทิวทัศน์จะสวยงามมากในวันอากาศดี

    เมื่อใกล้เวลาเดินทางออกจากโรงแรม ผมได้ผู้ร่วมทางจากหนังสือพิมพ์ Daily mail ชื่อ เรย์ แม๊กซี่ เขาเป็นนักข่าวหน้าใหม่ในวงการยานยนต์แต่ที่ร้ายก็คือ เขาไม่เคยขับรถ 4WD ลุยทางวิบากมาก่อนเลย ทำให้ผมซักสงสัยว่า การเลือก Range Rover 2.5 DSE นั้นสมควรหรือไม่

Range Rover 2.5 DSE รถที่ผมเลือกมาลุย
    การที่เราจะต้องปีนขึ้นไปบนเส้นทางที่สูงถึง 3,000 เมตร ทำให้ผมตัดสินใจเลือกรถที่ใช้เครื่องยนต์เทอร์โบดีเซล ซึ่งยังคงให้พลังสูง แม้ว่าอากาศจะเบาบางเท่าไหร่ก็ตาม ถึงแม้เครื่องยนต์ดีเซลของ BMW รุ่นนี้จะมีความดีอยู่มาก โดยเฉพาะที่ใช้กับรถ Range Rover ซึ่งมีแรงบิดสูงกว่าปกติ ( จาก 26.49 กก.-ม. ที่ 2200 รอบต่อนาที เพิ่มเป็น 27.51 กก.-ม. ที่ 2300 รอบต่อนาที) แต่แรงบิดสูงสุดนั้นได้ในย่านที่รอบค้อนข้างสูง บวกกับข้อเหวี่ยงที่ค่อนข้างเบา โอกาศที่เครื่องจะดับเพราะมือใหม่จึงมีความเป็นไปได้สูง


   แต่พอได้ออกเดินทางผมก็รู้ว่าไม่ต้องวิตกอะไร เพราะเรย์เปลี่ยนให้ผมขับทุกครั้งที่เจอเส้นทางยากๆ ผมสนุกสนานกับการลุยเส้นทางออฟโรด มันทำให้ผมย้อนนึกไปถึงการลงแข่ง camel trophy สองครั้งของผม และเวลาฝึกเป็นอาทิตย์กับรถ Range Rover บนสนามทดสอบที่ปราสาทอีสท์นอร์ นอกจากนั้นยังได้ร่วมสำรวจเส้นทาง camel trophyอีกครั้งหนึง

  รถ Range Rover คันใหม่นี้จัดได้ว่ามีสมรรถนะดีบนเส้นทางขรุขระจะไม่ถึงกับเรียกว่าโหดมากนัก แต่ก็เปียกชื้นและลื่นทำให้รถเสียหลักได้ง่าย เมฆทะมึนที่ปกคลุมอยู่ทำให้เราไม่มีโอกาสรู้ว่าไอ้ที่เป็นสโลปลงไปข้างหน้านั้น เป็นแค่แอ่งลึกไม่กี่ ซม. หรือเหวลึกเป็นร้อยๆเมตร ซึ่งทำให้ท่านต้องมีความเชื่อในรถของท่านสูงมาก แต่สมรรถนะของรถคันนี้ก็มีส่วนช่วยให้ดูเหมือนว่าผู้ขับนั้นมีความสามารถสูงพร้อมกับสร้างความเชื่อมั่นไปในตัว


    ตลอดวันนั้นผมกับเรย์เปลี่ยนกันขับหลายครั้ง แต่เื่มื่อเวลายิ่งยิ่งผ่านไป ก็ดูเหมือนว่าเขาจะยิ่งเชื่อมั่นตังเองมากขึ้น เมื่อถึงเวลาพักดื่มกาแฟกันที่ปราสาทเดลาตูร่า ดูเรย์เต็มไปด้วยความสบายใจทีเดียว แต่ที่ผ่านมาเป็นช่วงขึ้นเขาเท่านั้นครับ

เทือกเขาแอลป์ที่ระดับความสูง 3000 เมตรกับเส้นทางอันยากลำบากที่ผ่านมา

เส้นทางลงเขา ทางที่เป็นหินทั้งชันทั้งเปียกแฉะ เป็นการท่าทายโสตปราสาทมาก ท่านจะต้องมีความเชื่อมั่นในรถของท่านเต็มร้อย เพราะท่านจะต้องถอนเท้าออกจากคันเหยียบทุกอัน ใช้เกียร์ต่ำที่สุด และปล่อยให้เครื่องยนต์ชะลอรถของท่านลงมาเรื่อยๆ หน้าที่ของท่านเพียงแต่บังคับให้รถชี้ไปถูกทางเท่านั้น ผมเสนอตัวขับในช่วงนี้ ซึ่งก็ดูเรย์เต็มใจที่สุด แต่ดูเครื่องยนต์ดีเซลของ BMW จะเบรกตัวเองให้ดีเท่ากับเครื่องยนต์ดีเซลของ Range Rover เองไม่ได้ จึงลงเร็วไปหน่อย ซึ่งก็ทำให้ผมได้ชำระความแค้นกันในคราวนี้เอง เพราะพวกเก่งๆ ที่แซวผมบนเฮลิคอปเตอร์ ต่างหน้าซีดขาวเป็นกระดาษ ส่วนผนนะเหรอ สบายมาก!!


    ในเส้นทางย้อนกลับสู่วัลดิเซเร ซึ่งมีชื่อว่า โคลดูมองต์เซนี เป็บเส้นทางเดียวกับที่กองทัพของเจ็งกิสข่านได้ใช้เดินทาง รถ Range Rover ได้แสดงประสิทธิภาพในการทำงานอีกครั้งหนึ่ง เส้นทางนี้ขรุขระและมีโค้งมากมาย เครื่องยนต์ดีเซลทำงานเงียบกริบและนุ่มนวลอย่างไม่น่าเชื่อ ระบบช่วงล่างแบบลมมีส่วนเป็นอย่างมากที่ซับการเดินทางที่เต็มไปด้วยโขดหินและหลุมบ่อได้อย่างดี อีกทั้งเส้นทางที่มีความลื่น การควบคุมรถบนเส้นทางเหล่านี้ ไม่น้อยหน้ารถชาลูนเลยแม้แต่น้อย เครื่องยนต์ดีเซลของ BMW ก็ให้ความรู้สึกที่ศิวิไลซ์มากบนทางเรียบ

    เจ้าหน้าที่ของ Range Rover ทราบดีว่า 95% ของผู้ใช้รถนี้ไม่เคยได้ใช้เส้นทางแบบออฟโรดเลย และมองไม่เห็นความสำคัญ อีกทั้งยังไม่รู้เสียด้วยซ้ำว่า สมรรถนะเหล่านี้มีไว้เพื่ออะไร แต่สำหรับผู้ที่นิยมใช้รถออฟโรด จะต้องยอมรับว่า Range Rover 2.5 DSE คันนี้เป็นสุดยอดของรถออฟโรด การทำงานบนท้องถนนทั่วๆ ไปก็ไม่แพ้รถเก๋งระดับดีๆ ในเรื่องของการขับขี่วิบากจะแพ้ก็แค่ Discovery เท่านั้น เพราะรถรุ่นน้องคันนี้ผลิตขึนมาให้ลุยโดยเฉพาะ

    และหากผมจะต้องเลือกรถแบบ 4*4 หรือแม้แต่ช้างสักเชือกที่ใช้ข้ามเทือกเขาแอลป์ ผมก็ยังคงเลือก Range Rover 2.5 DSE อยู่ดี และเจ็งกิสข่านก็คงจะเห็นด้วยเช่นกัน

   แล้วเรย์เพื่อนเพื่อนใหม่ผมนะเหรอ วันรุ่งขึ้นเขาไม่ยอมลุกขึ้นจากเก้าอี้คนขับเลยหละ แหมมันน่าจะด่าซักคำสองคำ...

วันจันทร์ที่ 17 มกราคม พ.ศ. 2554

วันวานของชาวอเมริกันกับความเร็วรถยนต์

            ลากันทีปีเสือดุ ดูข่าวปีใหม่นี้(2544)ยอดอุบัติเหตุสูงเหมือนกับทุกปีที่ผ่านมา สาเหตุส่วนใหญ่ก็มาจากเมาแล้วขับ ทำให้ผมนึกการขับรถของชาวอเมริกันในอดีตอยู่เรื่องนึง เป็นเรื่องของกฎหมายที่จำกัดความเร็วครับ
         ชาวอเมริกันต้องทนทุกข์กับกฎหมายที่จำกัดความเร็วสูงสุดบนทางหลวงทั่วประเทศเอาไวัที่ 88 กม./ซม. (55ไมล์/ซม) มาตั้งแต่ปี1974  หรือ  พ.ศ.2517 ตั้ง 37 ปีมาแล้ว ในช่วงที่เกิดเหตุการณ์วิกฤติทางน้ำมันเชื้อเพลิง
           สำหรับท่านผู้อ่านที่ยังไม่เกิดในช่วงนั้น ก็ขอเล่าย้อนหลังใหัฟังว่าเมื่อกว่า  37 ปีก่อน นํ้ามันเชื้อเพลิงที่หัวปั้มในสหรัฐอเมริกามีราคาลิตรละไม่กี่เชนต์  (5-6 บาทในประเทศไทย) แต่บรรดาเศรษฐีนํ้ามันในย่านอาหรับเกิดดีดลูกคิดรางแก้วจนถึงบางอ้อว่าถ้าจะขึ้นราคาน้ำมันไปไม่ว่าเท่าไหร่   ยังไงชาวโลกก็ต้องกัดฟันควักกระเป๋าซื้อ เพราะไม่งั้นไม่รู้จะจอดรถทิ้งเอาไว้ทำไม ว่าแล้วก็ดันราคานํ้ามันขึ้นไปเรื่อย   จนราคาหน้าปั้มถึงประมาณลิตรละ18-19 บาทในเมืองไทย ผู้คนทั่วโลกต่างเดือกร้อน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในอเมริกาซึ่งถ้าขาดรถยนต์ ชาวอเมริกันจะต้องลงแดงตายกันเป็นแถวที่เดียว      
 ดังนั้นเพื่อเป็นการประหยัดนํ้ามัน และป้องกันมิให้เสียดุลย์แขกอาหรับอย่างมหาศาล ทางรัฐบาลกลางของอเมริกาจึงได้ออกกฎหมายจำกัดความเร็วบนทางด่วนไว้แค่ 55ไมล์/ซม. และตํ่ากว่านั้นบนถนนที่เล็กลงมาทั่วประเทศ

       ที่นี้วิกฤติการณ์ดังกล่าวก็บรรเทาลงไปตั้งนานแล้ว ราคาน้ำมันในปัจจุบันลดลงไปเกือบเท่ากับราคาเมื่อ 20 ปีก่อน แต่ชาวอเมริกันก็ยังต้องโดนกฎหมายดังกล่าวบีบบังคับอยู่ทุกวัน ทั้งๆที่รถอเมริกันแต่ละคันล้วนมีกำลังเหลือเฟือดูกันง่ายๆ แค่ Nissan Sentra เห็นกันอยู่เกลื่อนกรุงเทพ ที่อเมริกาใช้เครื่อง 1.6 ลิตร ความเร็วสูงสุด  175  กม./ซม. เป็นเครื่องขนาดเล็กที่สุด   และมีเครื่อง 2.0 ลิตรเร็วกว่า 200 กม./ซม. ให้เลือกอีกดัวย ส่วนราคา sentra 1.6นั้นคันละไม่เกิน 350,000 บาทครับ ถ้าอยากไดั Honda Accord 2.2 VTEC  ราคาจะขยับขึ้นไปถึงตั้ง 525,000 บาทแน่ะ
       แต่สมน้ำหน้า ไม่มีถนนให้วิ่ง  ฮ่า  ฮ่า  ฮ่า!
       มาถึงวันนี้พวกเราหัวเราะไม่ออกแล้ว เพราะกฏหมายดังได้กลายเป็นอดีตไปเรียบร้อยแล้ว   รัฐสภาอเมริกันไดัผ่านร่างแกไขกฏหมายในยุคของท่านประธานาธิบดีคลินตัน  [ซึ่งไม่ค่อยเห็นด้วยกับการแก้ไข)  ลง
 นามอนุมัติเท่านั้นแต่ถึงกระนั้น รัฐต่างๆ ของอเมริกันหลายรัฐก็ได้ถึงวิสาสะแก้กฎหมายนี้ตามอำเภอใจกันไปก่อนหลายรัฐแล้ว  เช่นมอนตาน่า  ยกเลิกจำกัดความเร็วเวลากลางวันโดยสิ้นเชิงเปลี่ยนเป็นจำกัดความเร็วเฉพาะเวลากลางคืนไว้ที่ 65 ไมล์/ชม. (104 กม./ซม.) บนทางด่วน และ 55 ไมล์/ซม. (88 กม/ซม.) บนหางหลวงอื่นๆ                   
             รัฐ  แคนซัส เนวาด้า และไวโอมิง ปรับขึ้นไปเป็น 75 ไมล์/ซม.(120 กม./ซม.) ส่วน มิสซรี เท็กซัส โอคลาโฮมา เซาท์ ดาโคต้า และแคลิฟอร์เนียต่างปรับขึ้นโปเป็น 70 ไมล์/ชม. (112 กม./ซม.)     

        
 ก็เป็นอันว่าชาวอเมริกันจะมีโอกาสได้ขับรถแบบสบายใจไร้กังวลได้แล้ว หลังจากที่หมดโอกาสนี้กันไปครึ่งชั่วคนเลยทีเดียว สำหรับเมืองไทยของเรากฏหมายแบบนี้ก็มีครับ แต่ไม่ว่ากฎจะออกมาอย่างไรรถพี่ไทยก็แรงเหมือนเดิม
สุดท้ายนี้ผมก็ขออวยพรท่านผู้อ่านทุกท่านจงประสบแต่ความสุขสมหวัง พานพบแต่เรื่องดีีีีีๆ ตลอดปีกระต่าย นะครับ

รถอเมริกันที่ดังที่สุดในโลก

      วันนี้ผมขอพูดถึงเรื่องของรถอเมริกันในเครือข่ายของ Chrysler ซึ่งเป็นรถอเมริกัน ที่คนทั่วโลกรู้ัจักกันมากที่สุดในนามของ Jeep เรียกได้ว่าพอลูกเด็กเล็กแดงทั้งหลายในโลกนี้ พอออกเสียงว่า Jeep เป็นอันรู้กันว่าหมายถึงรถยนต์ชนิดหนึ่งที่สามารถบุกป่าฝ่าดงได้ดีที่สุด ทั้งๆที่ความเป็นจริงแล้ว Jeep เป็นเพียงชื่อรุ่นรถยนต์รุ่นหนึ่งเท่านั้นเอง อย่างที่เจ้าของเค้าโฆษณาเอาไว้ว่า There's Only One Jeep แปลเป็นไทยว่ารถ Jeep แท้ๆนั้นมีเพียงหนึ่งเดียวเท่านั้นอย่างอื่นล้วนแอบอ้างทั้งสิ้น
       Jeep นั้นยังเป็นที่ถกเถียงกันมากว่ามาจากไหน บ้างก็ว่ามาจากคำเรียกหาของทางราชการทหารอเมริกัน ที่เรียกรถประเภทนี้สั้นๆว่า GP ซึ่งเมื่อเรียกเร็วก็กลายเสียงมาเป็น Jeep ส่วนบางรายก็บอกว่ามาจากชื่อของตัวการ์ตูนยอดนิยมของอเมริกันบ้าง เอาเป็นว่าเมื่อต้นตำรับยังไม่สามารถชี้ชัดลงไปได้ว่ามีที่มาจากไหน เราก็ปล่อยให้เป็นเรื่องของเขาเรารู้แต่เพียงว่าเป็นชื่อของรถก็แล้วกัน
      กำเนิดของรถ Jeep กับปืนออโตเมติก 11 มม. ของ Colt นั้นคล้ายคลึงกันตรงที่ว่าเมื่อทางการทหารเตรียมตัวจะสู้ศึกนั้น ได้มีการแจ้งความประสงค์ว่า อย่างได้อาวุธประจำกายอย่างไร อย่างได้ยุทโธปกรณ์อย่างไร แล้วก็ให้บริษัทเอกชนต่างๆ เป็นผู้เสนอเข้ามา ฝ่ายหนึ่งได้เป็นผู้สร้างปืนออโตเมติก Colt.45 ในขณะที่อีกฝ่ายหนึ่งคือบริษัท Wiily's Overland กลายมาเป็นผู้สร้างรถยนต์ภายใต้ชื่อ willy's แล้วก็กลายมาเป็นรถ Jeep ไปในที่สุด
      ซึ่งรถ Jeep รุ่นแรกที่ปรากฎโฉมออกมานั้น เป็นรุ่นที่มีรหัสขึ้นต้นด้วยตัวอักษร CJ อันมีต่อเนื่องมาอีกนานนับศตวรรษ รถ Jeep รุ่นที่เห็นกันมากที่สุดในบ้านเรานั่นน่าจะเป็นรุ่น CJ 3 และ CJ 5 โดยนำเข้ามามากนับแต่หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 เป็นต้นมา โดยส่วนมากเป็นรถที่ตกค้างมาจากสงครามและอีกส่วนหนึ่งเป็นรถที่ทางกองทัพอเมริกานำเข้ามาใช้ในยุคสงครามเวียดนาม
Jeep CJ5
Jeep CJ 3

      ซึ่งสำหรับรถจิ๊ปที่มาจากสงครามเวียดนามนั้นมีอยู่รุ่นหนึ่งที่ผมถือว่าเป็นต้นกำเนิดของการพัฒนารถยนต์ประเภท 4*4 ที่มีระบบช่วงล่างนุ่มนวลมาจนถึงทุกวันนี้
      รถขับเคลื่อนสี่ล้อในยุคต้นๆ ไม่ว่าจะเป็น Jeep หรือ Land Rover ก็ตาม ล้วนมีช่วงล่างเป็นระบบคานแข็ง ที่นั่งกันแต่ละครั้ง คนที่มีส่วนก้นบอบบางเป็นต้องภาวนาอย่างหนักหน่วงทุกที่ไป จนกระทั้งมาถึงในช่วงกลางของสงครามเวียดนาม แฟนๆ Jeep จึงได้รู้จักกับ Jeep ที่มีช่วงล่างแบบอิสระ 4 ล้อ คงจำกันได้นะครับสำหรับรถ jeep ที่มีซี่ตระแกรงแบบนอนขนานกับพื้นถนน แทนที่แบบซี่ตระแกรงตั้งฉากกับพื้นถนน ดั้งเดิมรถรุ่นดังกล่าวพอจะหาข้อมูลได้บ้าง เป็นรถรุ่นที่ใช้รหัส M เข้ามาแทน CJ เป็นรุ่นแรก

ช่วงล่างของ Jeep M151




Jeep M151 ที่ใช้ในสงครามเวียดนาม

       รถJeep ผงาดอยู่ในยุทธจักรของรถจอมลุยมานาน ขับเคี่ยวกับ Land Rover จากอังกฤษอย่างถึงพริงถึงขิง จนมีคำกล่าวกันว่า "ประเทศไหนมีรถ Land Rover วิ่งหนาตาประเทศนั้นมักมีพื้นฐานดั้งเดิมมาจากการเป็นอาณานิคมของอังกฤษมาก่อน" ซึ่งบ้านเรานั้นไม่เคยเป็นอาณานิคมของใครมาก่อนทั้งสิ้น จึงเป็นสังเวียนที่ Land Rover และ Jeep ฟาดฟันกัน ไม่ว่าจะเป็นตลาดในส่วนของทางราชการหรือตลาดเอกชน ซึ่งในสมัยแรกๆรถประเภทนี้จะอาศัยขายให้ส่วนราชการเป็นหลักใหญ่

     
รถ Land Rover คู่แข่งตัวฉกาจของ Jeepในยุคหลังสงครามโลกครั้งที่ 2
 หน่วยงานในสังกัดกระทรวงเกษตรจะใช้ Land Rover เป็นหลัก แต่หน่วยงานอย่างกองทัพหรือหน่วยงานอื่นๆ ปรากฏว่า Jeep สามารถโชว์สมรรถนะได้ประทับใจกว่า แม้แต่ในกรมการขนส่งเอง ยุคเมื่อสักเกือบสี่สืบปีที่ผ่านมาุ่ยังใช้รถ Jeep ที่มีตราเพชรสามดวงของ Mitsubishi เป็นรถประจำตำแหน่งของเจ้าหน้่าที่ขนส่งจังหวัดอยู่เลย

Jeep Mitsubishi J24H

       ปัจจุบันรถ Jeep ตกเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของ Chrysler ยักษ์ใหญ่ทางด้านอุตสาหกรรมยานยนต์จึงเป็นไปได้ว่ายานยนต์เอนกประสงค์ที่ชื่อว่า Jeep จะกลับมาผงาดในโลกนี้อีกครั้ง จะเห็นได้ว่าเดิมที่รถ Jeep จะผลิตเฉพาะรถที่มีพ่วงมาลัยอยู่ทางด้านซ้ายเป็นหลักเท่านั้น แต่ต่อมามีการทุ่มงบสร้างโรงงานหลายแห่งในภูมิภาคของโลก เพื่อให้มีรถ Jeep พวงมาลัยขวาแท้ๆ จากโรงงานออกมาต่อสู้กับรถอื่นๆมากขึ้น ชื่อรถของอเมริกันที่ขลังอย่าง Jeep คงต้องให้เวลาเป็นเครื่องพิสูจน์ว่าจะกลับมายิ่งใหญ่เพียงใด