วันอังคารที่ 18 มกราคม พ.ศ. 2554

Range Rover 2.5 DSE ย้อนรอยเจ็งกิสข่าน

เมฆสีเทาทึบปกคลุมรถ Range Rover ราวกับบรรยากาศในภาพยนต์เขย่าขวัญ ทำให้ย่นทัศนวิสัยด้านหน้าลงเหลือเพียงไม่กี่เมตร และบรรยากาศเช่นนี้ พอทำให้เกิดจินตนาการถึงเจ็งกิสข่านที่นำกองทัพข้ามเทือกเขาแอลป์นี้มาลุยยุโรปเมื่อกว่า 2 พันปีมาแล้ว แต่ที่วาดภาพลำบากซักหน่อยคงเป็นโขลงช้างศึก 37 เชือกเดินต้วมเตี้ยมตามกันขึ้นเขาสูงชัน
    
กองทัพอันเกรียงไกรของเจ็งกิสข่าน
     บนยอดเขาสูงเมื่ออากาศแจ่มใสจะเต็มไปด้วยความเงียบสงบ ไม่มีเสียงนกกาหรือเสียงพริ้วไหวของใบไม้ มีเพียงเสียงลมที่พัดผ่านต้นหญ้าหร๋อมแหร๋มและพุ่มไม้เล็กๆ ผนวกเมฆทึบเข้าไป แล้วเสียงต่างๆ ก็จะหดหายไปยิ่งกว่าเอาสำลียัดหูไว้เสียอีก ทำให้นึกย้อนไปถึงทหารโรมันที่คงจะหลับไม่รู้คู้ไม่เห็น เมื่อกองทัพเจ็งกิสข่านบุกเข้ามาประชิดจะมีก็แต่เสียงช้างร้อง ซึ่งชาวยุโรปไม่เคยได้ยินมาก่อน จนอาจคิดเลยเถิดไปว่าเป็นเสียงปีศาจขึ้นมาจากขุมนรกต้องรีบซุกผ้าคลุมโปงหลบเสียด้วยซ้ำ

     ไม่มีใครแน่ใจว่าเส้นทางที่เจ็งกิสข่านได้เดินทัพจากฐานที่ตั้งในประเทศสเปนข้ามเทือกเขาแอลป์ไปสู่ทางเหนือของอิตาลีนั้นเป็นทางไหนกันแน่ จากนั้นอีก 15 ปี นักรบผู้ยิ่งใหญ่ผู้นี้ก็บุกโจมตีปล้นสะดมภายในอาณาจักรโรมันสนุกมือ ก่อนถอยทัพกลับบ้านอย่างผู้มีชัย ถนนโบราณนี้น่าจะเป็นเส้นทางที่เจ็งกิสข่านเคยใช้ เพราะเห็มมีป้อมเดลาตูร์ร่าตั้งอยู่อย่างโดดเดี่ยว ที่ความสูง 3,000 เมตรเหนือระดับน้ำทะเล

เทือกเขาแอลป์
     เมื่อได้นั่งอย่างสบายบนเบาะนิ่มของ Range Rover เครื่องยนต์ดีเซล จึงเป็นเรื่องยากที่จะจินตนาการถึงความยากลำบากที่เหล่านักรบต้องเผชิญ เส้นทางที่พวกเขาใช้เวลาเดินเป็นวันๆ พวกเราขับรถ Range Rover ใช้เวลาเพียงไม่กี่ชั่วโมง พวกเขาคงต้องประสบกับความหนาวเย็น เปียกชื้นและหิวโหย ในขณะที่เรานั่งอยู่ในรถที่มีเครื่องปรับอากาศที่ปรับได้ตามความพอใจ และสบายใจได้ว่าอาหารกลางวันและเตียงอุ่นๆ รอเราอยู่ที่โรงแรมวัลดิเซเรในอีกไม่กี่ชั่วโมงข้างหน้า

    นี่คงเป็นครั้งที่ 2 และน่าจะเป็ครั้งสุดท้ายที่ Range Roverใช้เส้นทางประวัติศาสตร์บนเทือกเขาแอลป์ของฝรั่งเศสเป็นที่ทดสอบรถ

    ถ้าให้สารภาพกันตามตรงแล้วต้องเรียนว่า การขับรถ "วิบาก" สมัยนี้มันสบายเกินไป แถมบางทีเรายังเห็นชาวบ้านขับรถ Renault 5 ธรรมดาๆ กันอย่างไม่เห็นต้องทุกข์ร้อนหารถ "โฟร์วีล" ขับกันแต่อย่างใด แต่ก็นั่นแหละเมื่อคุณได้ขับรถ Range Roverหรือ Discovery แล้วคุณจะรู้สึกได้ว่าเนินเขาลาดชันอย่างไร ความรู้สึกที่ได้รับก็คล้ายๆ กับขับรถขึ้นทางลาดของทางด่วนเท่านั้น

    วันที่เราไปถึงอากาศมืดครึ้มและชื้นมาก พอเช้าวันรุ่งขึ้นอากาศยังเลวเหมือนเดิม ท้องฟ้าเต็มไปด้วยเมฆหนา ความหวังที่จะได้เห็นทิวทัศน์อันสวยงามหมดไป ผมเอียนมากกับคำพูดของไกด์ที่พูดไม่จบว่า ทิวทัศน์จะสวยงามมากในวันอากาศดี

    เมื่อใกล้เวลาเดินทางออกจากโรงแรม ผมได้ผู้ร่วมทางจากหนังสือพิมพ์ Daily mail ชื่อ เรย์ แม๊กซี่ เขาเป็นนักข่าวหน้าใหม่ในวงการยานยนต์แต่ที่ร้ายก็คือ เขาไม่เคยขับรถ 4WD ลุยทางวิบากมาก่อนเลย ทำให้ผมซักสงสัยว่า การเลือก Range Rover 2.5 DSE นั้นสมควรหรือไม่

Range Rover 2.5 DSE รถที่ผมเลือกมาลุย
    การที่เราจะต้องปีนขึ้นไปบนเส้นทางที่สูงถึง 3,000 เมตร ทำให้ผมตัดสินใจเลือกรถที่ใช้เครื่องยนต์เทอร์โบดีเซล ซึ่งยังคงให้พลังสูง แม้ว่าอากาศจะเบาบางเท่าไหร่ก็ตาม ถึงแม้เครื่องยนต์ดีเซลของ BMW รุ่นนี้จะมีความดีอยู่มาก โดยเฉพาะที่ใช้กับรถ Range Rover ซึ่งมีแรงบิดสูงกว่าปกติ ( จาก 26.49 กก.-ม. ที่ 2200 รอบต่อนาที เพิ่มเป็น 27.51 กก.-ม. ที่ 2300 รอบต่อนาที) แต่แรงบิดสูงสุดนั้นได้ในย่านที่รอบค้อนข้างสูง บวกกับข้อเหวี่ยงที่ค่อนข้างเบา โอกาศที่เครื่องจะดับเพราะมือใหม่จึงมีความเป็นไปได้สูง


   แต่พอได้ออกเดินทางผมก็รู้ว่าไม่ต้องวิตกอะไร เพราะเรย์เปลี่ยนให้ผมขับทุกครั้งที่เจอเส้นทางยากๆ ผมสนุกสนานกับการลุยเส้นทางออฟโรด มันทำให้ผมย้อนนึกไปถึงการลงแข่ง camel trophy สองครั้งของผม และเวลาฝึกเป็นอาทิตย์กับรถ Range Rover บนสนามทดสอบที่ปราสาทอีสท์นอร์ นอกจากนั้นยังได้ร่วมสำรวจเส้นทาง camel trophyอีกครั้งหนึง

  รถ Range Rover คันใหม่นี้จัดได้ว่ามีสมรรถนะดีบนเส้นทางขรุขระจะไม่ถึงกับเรียกว่าโหดมากนัก แต่ก็เปียกชื้นและลื่นทำให้รถเสียหลักได้ง่าย เมฆทะมึนที่ปกคลุมอยู่ทำให้เราไม่มีโอกาสรู้ว่าไอ้ที่เป็นสโลปลงไปข้างหน้านั้น เป็นแค่แอ่งลึกไม่กี่ ซม. หรือเหวลึกเป็นร้อยๆเมตร ซึ่งทำให้ท่านต้องมีความเชื่อในรถของท่านสูงมาก แต่สมรรถนะของรถคันนี้ก็มีส่วนช่วยให้ดูเหมือนว่าผู้ขับนั้นมีความสามารถสูงพร้อมกับสร้างความเชื่อมั่นไปในตัว


    ตลอดวันนั้นผมกับเรย์เปลี่ยนกันขับหลายครั้ง แต่เื่มื่อเวลายิ่งยิ่งผ่านไป ก็ดูเหมือนว่าเขาจะยิ่งเชื่อมั่นตังเองมากขึ้น เมื่อถึงเวลาพักดื่มกาแฟกันที่ปราสาทเดลาตูร่า ดูเรย์เต็มไปด้วยความสบายใจทีเดียว แต่ที่ผ่านมาเป็นช่วงขึ้นเขาเท่านั้นครับ

เทือกเขาแอลป์ที่ระดับความสูง 3000 เมตรกับเส้นทางอันยากลำบากที่ผ่านมา

เส้นทางลงเขา ทางที่เป็นหินทั้งชันทั้งเปียกแฉะ เป็นการท่าทายโสตปราสาทมาก ท่านจะต้องมีความเชื่อมั่นในรถของท่านเต็มร้อย เพราะท่านจะต้องถอนเท้าออกจากคันเหยียบทุกอัน ใช้เกียร์ต่ำที่สุด และปล่อยให้เครื่องยนต์ชะลอรถของท่านลงมาเรื่อยๆ หน้าที่ของท่านเพียงแต่บังคับให้รถชี้ไปถูกทางเท่านั้น ผมเสนอตัวขับในช่วงนี้ ซึ่งก็ดูเรย์เต็มใจที่สุด แต่ดูเครื่องยนต์ดีเซลของ BMW จะเบรกตัวเองให้ดีเท่ากับเครื่องยนต์ดีเซลของ Range Rover เองไม่ได้ จึงลงเร็วไปหน่อย ซึ่งก็ทำให้ผมได้ชำระความแค้นกันในคราวนี้เอง เพราะพวกเก่งๆ ที่แซวผมบนเฮลิคอปเตอร์ ต่างหน้าซีดขาวเป็นกระดาษ ส่วนผนนะเหรอ สบายมาก!!


    ในเส้นทางย้อนกลับสู่วัลดิเซเร ซึ่งมีชื่อว่า โคลดูมองต์เซนี เป็บเส้นทางเดียวกับที่กองทัพของเจ็งกิสข่านได้ใช้เดินทาง รถ Range Rover ได้แสดงประสิทธิภาพในการทำงานอีกครั้งหนึ่ง เส้นทางนี้ขรุขระและมีโค้งมากมาย เครื่องยนต์ดีเซลทำงานเงียบกริบและนุ่มนวลอย่างไม่น่าเชื่อ ระบบช่วงล่างแบบลมมีส่วนเป็นอย่างมากที่ซับการเดินทางที่เต็มไปด้วยโขดหินและหลุมบ่อได้อย่างดี อีกทั้งเส้นทางที่มีความลื่น การควบคุมรถบนเส้นทางเหล่านี้ ไม่น้อยหน้ารถชาลูนเลยแม้แต่น้อย เครื่องยนต์ดีเซลของ BMW ก็ให้ความรู้สึกที่ศิวิไลซ์มากบนทางเรียบ

    เจ้าหน้าที่ของ Range Rover ทราบดีว่า 95% ของผู้ใช้รถนี้ไม่เคยได้ใช้เส้นทางแบบออฟโรดเลย และมองไม่เห็นความสำคัญ อีกทั้งยังไม่รู้เสียด้วยซ้ำว่า สมรรถนะเหล่านี้มีไว้เพื่ออะไร แต่สำหรับผู้ที่นิยมใช้รถออฟโรด จะต้องยอมรับว่า Range Rover 2.5 DSE คันนี้เป็นสุดยอดของรถออฟโรด การทำงานบนท้องถนนทั่วๆ ไปก็ไม่แพ้รถเก๋งระดับดีๆ ในเรื่องของการขับขี่วิบากจะแพ้ก็แค่ Discovery เท่านั้น เพราะรถรุ่นน้องคันนี้ผลิตขึนมาให้ลุยโดยเฉพาะ

    และหากผมจะต้องเลือกรถแบบ 4*4 หรือแม้แต่ช้างสักเชือกที่ใช้ข้ามเทือกเขาแอลป์ ผมก็ยังคงเลือก Range Rover 2.5 DSE อยู่ดี และเจ็งกิสข่านก็คงจะเห็นด้วยเช่นกัน

   แล้วเรย์เพื่อนเพื่อนใหม่ผมนะเหรอ วันรุ่งขึ้นเขาไม่ยอมลุกขึ้นจากเก้าอี้คนขับเลยหละ แหมมันน่าจะด่าซักคำสองคำ...

1 ความคิดเห็น: